...พลังแห่งความมุ่งมั่นตั้งใจและแรงปรารถนาดีที่มีต่อผู้อื่นด้วยศรัทธาและความเชื่อที่มีต่อหลักการแบ่งปันสิ่งดี
ๆ ให้แก่กัน เป็นการให้ที่มีคุณค่าที่ผู้รับไม่สามารถปฏิเสธได้
เนื่องจากการกล่าวถ้อยคำเพียงสั้น ๆ แต่กินใจ เช่นว่า... “อยากให้อ่านหนังสือเรื่องนี้.......จังเลย” “ อ่านให้หน่อยนะ รักนะจึงให้อ่าน”
“ครูอยากให้หนู...อ่านเรื่อง........จังเลย” “อ่านให้ครูหน่อยนะจ๊ะ พรุ่งนี้เรามาคุยเรื่องนี้...กันนะจ๊ะ”
จากความรู้สึกดี ๆ
ที่มีให้กันจะเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ในการจุดประกายแห่งการอ่านและพัฒนาไปสู่คุณลักษณะแห่งนิสัยรักการอ่านให้เกิดขึ้นได้อย่างมหัศจรรย์
คือจุดเริ่มต้นของกิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน
‘รักใครให้อ่านเลย... อาเซียน” ของโรงเรียนยางหล่อวิทยาคาร
ต.ยางหล่อ อ.ศรีบุญเรือง จ.หนองบัวลำภู
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพม.) เขต 19 (เลย-หนองบัวลำภู)
โรงเรียนที่ได้รับเลือกให้เป็นโรงเรียน ห้องสมุดมีชีวิตต้นแบบ สพฐ. รุ่นที่ 6 ประจำปี 2556
นางปดิวรัดดา ศรีบุรินทร์
ครูบรรณารักษ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
โรงเรียนยางหล่อวิทยาคาร
สพม.19 กล่าวว่า กิจกรรม “รักใครให้อ่านเลย...อาเซียน” เป็นกิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่านด้วยการสร้างเครือข่าย
เพื่อกระตุ้นและ ส่งเสริมนิสัยรักการอ่านและเตรียมความพร้อมในการทดสอบระดับชาติ ( O-NET) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
วิชาภาษาไทย และเป็นการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
เกี่ยวกับเรื่องอาเซียน และส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน สำหรับ ผู้บริหารโรงเรียน ครูผู้สอน และผู้สนใจ ซึ่งมีครูบรรณารักษ์และครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยเป็นหลักในการดำเนินกิจกรรม
โดยแนวคิดการจัดกิจกรรม “รักใครให้อ่านเลย...อาเซียน” เริ่มต้นเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2556 โดยมี ดร.วิมล ปานะถึก อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนยางหล่อวิทยาคา
ร เป็นผู้ริเริ่ม และมีการสานต่อกิจกรรมโดยนายธารา พิลาแสง ผู้อำนวยการโรงเรียนคนปัจจุบัน โดยในช่วงปีแรกหนังสือที่เลือกนำมาสร้างเครือข่ายรักการอ่านเป็นหนังสืออะไรก็ได้ที่ชอบอ่านและอยากจะส่งต่อให้ผู้อื่นได้อ่านด้วย
และเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในปลายปี 2558 หนังสือที่เลือกจึงให้เป็นหนังสือเกี่ยวกับประเทศอาเซียน
“การส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ด้วยการสร้างเครือข่าย
“รักใครให้อ่านเลย...อาเซียน” ปัจจุบันเป็นปีที่ 5 ที่ได้กิจกรรมและประสบผลสำเร็จอย่างดียิ่ง ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่มีคุณค่าเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง
เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่มีความง่ายต่อการดำเนินการ
ไม่มีขั้นตอนที่ยุ่งยากสลับซับซ้อน สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องอาศัยงบประมาณ เนื่องจากใช้หนังสือที่มีอยู่แล้วในห้องสมุด ไม่กระทบต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนปกติ เกิดความสุขเมื่อได้ทำ
และยังเป็นการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านให้ทุกคนได้เป็นอย่างดี”
นางปดิวรัดดา กล่าวอีกว่า รูปแบบในการสร้างและขยายเครือข่ายมี
2 รูปแบบ คือ รูปแบบจากแม่ข่ายลงสู่เครือข่ายด้วยระบบส่งต่อ (Forward system) โดยเริ่มต้นจากแม่ข่ายส่งต่อไปยังเครือข่าย
เมื่อเครือข่ายอ่านแล้วก็จะส่งต่อไปยังเครือข่ายคนต่อ ๆ ไป เป็นระบบลูกโซ่ และรูปแบบจากแม่ข่ายลงสู่เครือข่ายด้วยระบบส่งกลับ
(Backward system) โดยเริ่มต้นจากแม่ข่ายส่งต่อไปยังเครือข่าย
เมื่อเครือข่ายอ่านแล้วก็จะส่งกลับไปยังแม่ข่าย
และแม่ข่ายก็จะส่งต่อให้เครือข่ายคนต่อไป
เมื่อเครือข่ายคนต่อไปอ่านแล้วก็จะส่งกลับมายังแม่ข่าย
ทำเช่นนี้ต่อเนื่องไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และเครือข่ายคนอื่น ๆ
ก็จะพัฒนาเป็นแม่ข่ายส่งให้เครือข่าย อย่างมีระบบ
นายจิรวัฒน์
เข็มทอง นักเรียนชั้น ม.6/
เป็นนักเรียนรุ่นแรกที่ทำกิจกรรมรักใครให้อ่านเลย กล่าวว่า ตนเองเป็นยุวบรรณารักษ์ของห้องสมุดตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น
ม.1 และมีโอกาสได้ช่วยครูบรรณารักษ์ทำกิจกรรมต่างๆ ของห้องสมุดอยู่เสมอ เป็นคนชอบอ่านหนังสือ
เห็นว่ากิจกรรมรักใครให้อ่านเลยเป็นกิจกรรมบูรณาการให้เข้ากับการจัดการเรียนรู้ของทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและหลากหลาย เป็นอย่างดี
น.ส.วิภาวดี นาคขุนทด
นักเรียนชั้น ม.6/1
เป็นนักเรียนที่เคยไปชนะเลิศการประกวดแข่งขันกิจกรรมยุวบรรณารักษ์ส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน
ระดับเขตพื้นที่การศึกษา และได้รับรางวัลระดับเหรียญเงิน
ระดับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งที่ 66 ที่จังหวัดหนองคาย กล่าวว่า ตนเองชอบเข้าห้องสมุดและอ่านหนังสืออยู่เสมอ
ตั้งแต่มีกิจกรรมรักใครให้อ่านเลย ทำให้ตนเองมีความสุขและสนุกในการสร้างเครือข่ายรักการอ่านมาก
นำไปต่อยอดให้คนในครอบครัวได้เรียนรู้เรื่องภาษาอาเซียน
ช่วยสร้างสานความสัมพันธ์อันดีทำให้ทุกคนรักกัน
และมีความสุขในการอ่านและเรียนรู้ไปในตัวอีกด้วย และอยากจะให้คโรงเรียนดำเนินการต่อไปเรื่อยๆ
ตลอดไป
นายธารา พิลาแสง ผู้อำนวยการโรงเรียนยางหล่อวิทยาคาร
กล่าวว่า
ผลจากการดำเนินกิจกรรม “รักใครให้อ่านเลย...อาเซียน” ปีที่
5 ถือว่าประสบความสำเร็จสูงสุด มีตัวชี้วัดถึงคุณภาพของการจัดการศึกษาเป็นอย่าดี คือ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1-3
มีความสามารถอ่านคล่อง เขียนคล่อง
ได้ร้อยละ 80 และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
มีผลการ ทดสอบระดับชาติ ( O-NET) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ( ปี 2557 เฉลี่ย 32.12 ปี 2558 เฉลี่ย 40.98 ) โดยปี 2558 เพิ่มขึ้น 8.86 และปี 2559 (ปี 2558 เฉลี่ย 40.98 ปี 2559 เฉลี่ย 48.44) เพิ่มขึ้น 7.46 ซึ่งถือว่าเป็นที่น่าพอใจและถือเป็นค่าคะแนนในการพัฒนานักเรียนให้มีคะแนนสูงขึ้นในทุกปี
……………………………………………….
กฤตภาส ดวงไพชุม
นักประชาสัมพันธ์ชำนาญการ สพม.19
/รายงาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น